วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มากฝึกออกเสียงประเทศในอาเซียนกันเถอะ



รู้จัก 10 ประเทศอาเซียนกันดีกว่า



1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 



       ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

 
2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)



          เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือและทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคนโดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการแต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ,ฝรั่งเศสและเวียดนามได้

3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)




          เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)



          เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ 

5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)



          เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)



          เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)



          เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)


8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)



          เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ


9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)


          เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)




          มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ 



----------------------------------ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากกระปุก------------------------------------


วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

การอ่านแบบ Scanning

Scanning คือการอ่านอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับ Skimming แต่ต่างกันตรงที่ Scan เป็นการอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อมูลบางอย่างที่ต้องการ วิธี Scan มีประโยชน์มากในการอ่าน เพราะทำให้ได้ข้อมูลที่ต้องการภายในเวลารวดเร็ว เช่น ในเวลาอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นักเรียนอาจต้องหาเพียง ชื่อ วันที่ สถิติ หรือข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น นักเรียนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านเรื่องทั้งหมด เพียงแต่กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ทีละ 2 – 3 บรรทัด เพื่อหาสิ่งที่นักเรียนต้องการ แต่ที่สำคัญคือ นักเรียนจะต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่า กำลังหาอะไร ในใจนักเรียน จะต้องกำหนดสิ่งนั้นอย่างชัดเจน เพื่อที่เวลานักเรียนอ่านนักเรียนอ่าน นักเรียนจะรู้สึกว่า มองหาสิ่งที่ต้องการปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด 


ขั้นตอนง่ายๆในการอ่านด้วยวิธี Scanning มีดังนี้
       1.  อ่านคำถามเกี่ยวกับข้อความนั้น ๆ ก่อนเพื่อประหยัดเวลา และช่วยในการหาคำตอบได้รวดเร็วขึ้น
       2.  อ่านข้อความ หรือ scan ย่อหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อพบข้อความเกี่ยวกับคำตอบแล้ว ให้อ่านช้าลงและรอบคอบระมัดระวัง และพยายามหาคำและกลุ่มคำที่สำคัญ (Key words and phrases) ที่จะช่วยให้คำตอบที่ถูกต้อง
       3.  หากเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choices) ให้ตัดคำตอบที่ผิดออกและเลือกคำตอบที่ดีที่สุดที่เหลืออยู่


แบบฝึกหัดการอ่านแบบข้าม (Scanning)
E-Education begins
                RANGOON – Burma launched an ambitious e–education program over the weekend with the opening of 203 electronic learning centers in all states and divisions nationwide, official media reports said recently.
            The “Electronic Data Broadcasting System” we officially inaugurated recently by the Ministry of Education and Ministry of Information, said the state run New Light of Myanmar newspaper.
            Under the program, students will have access to lectures on “academic subjects and technology subjects” at special learning centers via computer, satellite links and television.
 1. Where in  Burma inaugurated e-education program?
            a. Myanmar            b. Rangoon
            c. all the states       d. centre of Burma
2. When did e-education program open?
            a. everyday            b. every week
            c. every month       d. only weekend
 3. Which subjects do the students have on this program?
            a. technology and academic subjects     b. academic subjects and electronic
            c. technology and science subject          d. Mathematics and English
4. Ms. Chantana: Can I study the English subject via television?
    The students: ........................................................
   a. Yes, I can.   b. No, I can’t.
   c. Yes, you can.  d. No, you can’t
เฉลยแบบฝึกหัด:
1. b.  คำแรกของประโยคแรกในเรื่อง บอกชัดเจนว่า  RANGOON (เมืองย่างกุ้ง) ของประเทศพม่า เป็นสถานที่ที่ใช้เริ่มโปรแกรมการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นทางการ
2. d. over the weekend ในย่อหน้าแรก เป็นคีย์เวิร์ด สำคัญนำไปสู่คำตอบที่ว่าโปรแกรมการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ เปิดให้บริการในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์ และอาทิตย์) เท่านั้น
3. a. technology and academic subject เทคโนโลยี และวิชาการ เป็นสองวิชา ที่นักเรียนจะได้เรียนในโปรแกรมนี้ 
4. c. television คีย์เวิร์ด ในย่อหน้าสุดท้าย และคำสุดท้ายของเรื่อง ช่วยให้ได้คำตอบว่านักเรียนสามารถเรียนภาษาอังกฤษ ผ่านโทรทัศน์ได้

+++++++++++ทดลองทำกันแล้วทำกันได้บ้างหรือเปล่าคะ+++++++++++++

Writing an informal letter

นี่เป็นวลี และแบบแผนซึ่งคุณจะพบว่ามีประโยชน์ในเวลาเขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ

Writing an informal letter – การเขียนจดหมายแบบไม่เป็นทางการ
เริ่มต้นจดหมายของคุณโดยใช้คำว่า Dear ต่อด้วยชื่อของบุคคลซึ่งคุณเขียนถึง ตัวอย่างเช่น :
Dear Mark,
Dear Mark,
Dear Jane,
Dear Jane,

นี่เป็นบางสิ่งที่คุณควรรู้
Thanks for your ...
ขอบคุณสำหรับ ... ของคุณ
letter
จดหมาย
postcard
โปสการ์ด
present
ของขวัญ
invitation
คำเชิญ

Sorry it's taken me so long to write.
ขอโทษที่ใช้เวลานานในการเขียน
I hope you're well.
ฉันหวังว่าคุณจะสบายดี
Good to see you again last week.
ดีที่ได้พบคุณอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
Look forward to seeing you soon!
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบคุณเร็วๆ นี้!



นี่เป็นตัวอย่างการลงท้ายจดหมายแบบไม่เป็นทางการ
Best wishes,
ด้วยความปรารถนาดี
Kind regards,
ด้วยความระลึกถึง

ถ้าเขียนถึงสมาชิกในครอบครัว, คู่หู หรือเพื่อนสนิท คุณสามารถลงท้ายด้วยคำต่อไปนี้ :
Love,
รัก,
 ลงท้ายด้วยการเขียนชื่อของคุณ

หลักการเติม ingใน Present Continuous Tense

หลักการเติม ing ที่ท้ายคำกริยาใน Present Continuous Tense มีหลักการสำคัญๆดังนี้
โดยปกติแล้ว กริยาทั่วๆไป เติม ing ได้เลย ยกเว้นบางคำเท่านั้น

       sleep >> sleeping  นอนหลับ
        eat >> eating กิน
        drink >> drinking ดื่ม
         go >> going ไป
         fly >> flying บิน
1. กริยาที่มีสระเสียงสั้นตัวเดียว  (เสียง อะ อิ อุ โอะ เอาะ เป็นต้น) ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีกหนึ่งตัว แล้วเติม ing
         sit >> sitting นั่ง
         run >> running วิ่ง
        swim >> swimming ว่ายน้ำ
         cut >> cutting ตัด
         get >> getting ได้รับ
         put >> putting วาง
       stop >> stopping หยุด
2. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้ง แล้วเติม ing
        ride >> riding ขี่
        drive >> driving ขับ
        give >> giving ให้
         come >> coming มา
        make >> making ทำ
        take >> taking เอา
        write >> writing เขียน
        dance >> dancing เต้นรำ
 (ยกเว้นลงท้ายด้วย ee ห้ามตัด เช่น see >> seeing)
3. กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing
        die >> dying ตาย
        lie >> lying นอน
        tie >> tying มัด
4. (สำหรับคนที่เก่งขึ้นมาหน่อย) กริยาที่มีสองพยางค์ขึ้นไป ถ้า stress พยางค์หลัง  ให้เพิ่มตัวสะกดอีกหนึ่งตัว แล้วเติม ing แต่ถ้า stress พยางค์หน้า ไม่ต้องเติมตัวสะกด
stress พยางค์หน้า
         visit >> visiting
       deliver >> delivering
Stress พยางค์หลัง
        admit >> admitting
        refer >> referring
ยกตัวอย่างให้ดูคร่าวๆแล้วกัน ค่อยๆสังเกตไปเรื่อยๆนะคะ แต่หลักที่สำคัญก็มีเท่านี้แหละ



วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การเปรียบเทียบ Present Simple Tense กับ Present Continuous Tense

Present Simple Tense นั้นเป็นสิ่งที่เกิดทั่วๆไปหรือเกิดซ้ำบ่อยๆ สังเกตว่าเลาลานั้นอาจจะเป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่ได้มีการระบุอย่างชัดเจน ลองดูภาพด้านล่างเพื่อความเข้าใจ

ยกตัวอย่างเช่น
Can you speak English?
(คุณสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ไหม)
Sun rises in the morning.
(ดวงอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้า)
What is your hobby?
(งานอดิเรกของคุณคืออะไร)
Population of the world increases every year.
(ประชากรของโลกเพิ่มขึ้นทุกปี)
นอกจากนั้นเราสามารถใช้ Present Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดไปเช่น
My parents live in Bangkok. They have lived there all their lives.
(พ่อแม่ของฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดชีวิตของพวกเขา)

Present Continuous Tense นั้นมีความแตกต่างเนื่องจากเป็นการกล่าวถึงเรื่องต่างๆในขณะเวลาที่เกิดขึ้น ซึ่งการกระทำนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ลองดูภาพด้านล่างเพื่อความเข้าใจ





ยกตัวอย่างเช่น
Don’t bother me. I am working on my project.
(อย่ารบกวนฉัน ฉันกำลังทำงานของฉัน)
She is driving so fast.
(เธอขับรถเร็วมาก ๆตอนนี้)
I am starving now. Let’s go and find something to eat.
(ตอนนี้ฉันหิว ขอไปหาอะไรกินกัน)
นอกจากนั้นเราสามารถใช้ Present Continuous Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราว
My parents are living in Bangkok until they find a new house in Phuket.
(พ่อแม่ของฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตอนนี้ จนกว่าพวกเขาจะหาบ้านใหม่ในภูเก็ต)

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลักการใช้ Question Words



Question words หมายถึง คำที่ใช้ขึ้นต้นประโยค เพื่อทำให้ประโยคนั้นเป็นคำถาม ซึ่งต้องการให้ผู้ตอบได้ตอบโดยใช้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริง ประโยคคำถามส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยและ H ซึ่งได้แก่
What (อะไร)         Where (ที่ไหน)       When (เมื่อไหร่)
Why (ทำไม)         Who (ใคร)            Whom (ใคร)
Whose (ของใคร)   Which (อันไหน)      How (อย่างไร)
โครงสร้าง Question words + กริยาช่วย + subject + Verb

What (อะไร) ใช้ถามเกี่ยวกับคน สัตว์ หรือสิ่งของ โดยทั่วๆ ไป เช่น
         What is your family name? นามสกุลของคุณคืออะไร
         What is between a pencil and a pen? อะไรอยู่ระหว่างดินสอและปากกา
         What is your nationality? คุณมีสัญชาติอะไร
Which (อันไหน สิ่งไหน) ใช้ถามเกี่ยวกับคน สัตว์ หรือสิ่งของ ต้องการทราบอย่างแน่ชัด เฉพาะเจาะจงว่า คนไหน ตัวไหน สิ่งไหน หรือใช้ถามเพื่อให้เลือกจากจำนวนที่มีอยู่ เช่น
         Which car do you like? รถคันไหนที่คุณชอบ
When (เมื่อไร)ใช้ถามเกี่ยวกับเวลา เช่น
         When do you arrive? คุณมาถึงเมื่อไร
Where (ที่ไหน) ใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่ เช่น
         Where will you go tonight? คืนนี้คุณจะไปไหน
 Who (ใคร) ใช้ถามเกี่ยวกับบุคคลโดยบุคคลนั้นจะทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
         Who comes with you? ใครมากับคุณ
Whom (ใคร) ใช้ถามเกี่ยวกับบุคคลโดยบุคคลนั้นจะทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น
         Whom did you meet yesterday? เมื่อวานนี้คุณพบใคร
Whose (ของใคร) ใช้ถามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น
         Whose fountain-pen is this? ปากกาหมึกซึมด้ามนี้เป็นของใคร
         Whose bag is that? กระเป๋าใบนั้นของใคร
Why (ทำไม) ใช้ถามเพื่อต้องการทราบเหตุผล สาเหตุ เช่น
         Why did you come late? ทำไมคุณถึงมาสาย
         Why do you believe that? ทำไมคุณถึงเชื่อเช่นนั้น
How (อย่างไร) ใช้ถามความหมายของลักษณะอาการต่างๆ เช่น
         How do you come to school คุณมาโรงเรียนอย่างไร
         How are you today? วันนี้คุณสบายดีไหม